Skip to content
แบตเตอรี่ อุปกรณ์สำคัญที่มีในรถทุกคัน ช่วยให้รถสตาร์ทติดวิ่งได้บนท้องถนน เป็นตัวเก็บไฟฟ้าให้อุปกรณ์ต่างๆในรถ ทั้งไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟท้าย และไฟเบรค เครื่องเสียงและวิทยุ ระบบปรับอากาศในห้องโดยสาร ปัจจุบันแบตเตอรี่ในท้องตลาดมีให้เลือกอยู่หลายแบบ หลายราคา แต่จะมีแบบไหนใช้งานต่างกันยังไง? ไปติดตามพร้อมกันเลยครับ
แบตเตอรี่รถยนต์มีหลักๆอยู่ด้วยกัน 3 แบบ
-
แบตเตอรี่แบบเปียก (กรดตะกั่ว) เป็นแบตเตอรี่ดั้งเดิมที่ใช้กันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แบตเตอรี่ประเภทนี้ มีสารละลายอิเล็กโตรไลท์ที่มีสถานะเป็นของเหลว จึงต้องมีการเติมน้ำกลั่น เพื่อไม่ให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ โดยทั่วไปมีอายุการใช้งานประมาณ 1.5-2 ปี ไม่เกิน 3 ปี
ข้อดี คือ มีราคาถูก ทนทานต่อการรับโหลดทั้งการประจุและคายประจุ
ข้อเสีย คือ ต้องคอยเติมน้ำกลั่นอยู่เสมอ เสี่ยงที่สารละลายที่มีส่วนผสมของกรดหกทำลายสีรถได้
-
แบตเตอรี่แบบแห้ง (ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น) แบตเตอรี่ประเภทนี้พัฒนาต่อมาจากแบบเปียก จะมีการพัฒนาตัวแผ่นธาตุ ไม่ว่าจะเป็นการเดินโครงตะกั่ว ส่วนผสมเพิ่มเติม และระบบฝาสองชั้น ทำให้สามารถลดการสูญเสียของน้ำกรด จึงไม่จำเป็นต้องเติมน้ำกลั่น อายุการใช้งานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 5-10 ปี
ข้อดี คือ ราคาถูกค่อนข้างแพง สะดวกในการใช้งานไม่ต้องเสียเวลาเติมน้ำกลั่น
ข้อเสีย คือ เป็นแบตเตอรี่ระบบปิด เมื่อเกิดการอุดตันอาจจะเกิดปัญหาแรงดันภายใน ความร้อน หรือความชื้นได้ เมื่อแบตเตอรี่พังต้องเปลี่ยนใหม่เท่านั้น
-
แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง (แบบไฮบริด) แบตเตอรี่ลูกผสมระหว่างแบบเปียกกับแบบแห้ง วัตถุดิบหลักที่ใช้ผลิตแบตเตอรี่ประเภทนี้ เป็นโลหะผสมระหว่างตะกั่วกับแคลเซียมเฉพาะแผ่นธาตุลบ เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำกลั่นระเหยจากแบตเตอรี่เร็ว แบตเตอรี่ประเภทนี้ควรเติมน้ำกลั่นทุกๆ 6 เดือน หรือ 10,000 กม.
ข้อดี คือ ราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับแบตเตอรี่แบบแห้ง ดูแลรักษาง่ายกว่าแบตเตอรี่แบบเปียก
ข้อเสีย คือ ต้องคอยตรวจเช็ค และเติมน้ำกลั่นปีละ 1-2 ครั้ง
ได้ทำความรู้จัก และทราบถึงข้อดี/ข้อเสียของแบตเตอรี่แต่ละประเภทกันไปแล้ว ทั้งแบบเปียก
แบบแห้ง และแบบกึ่งแห้ง ครั้งหน้าเราจะมาคุยกันต่อ เรื่องการเลือกความจุแบตเตอรี่ให้เหมาะกับการใช้งานของรถกันต่อ อย่าลืมติดตามกันให้ได้นะครับ
